สิลา วีระวงส์
มหา สิลา วีระวงส์ | |
---|---|
ສິລາ ວີຣະວົງສ໌ | |
เกิด | 1 สิงหาคม พ.ศ. 2448 บ้านหนองหมื่นถ่าน อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ประเทศสยาม (ปัจจุบันขึ้นกับ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด ประเทศไทย) |
เสียชีวิต | 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530 (81 ปี) บ้านนาคำท่ง เมืองศรีโคตรบอง นครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว |
สุสาน | วัดโสกป่าหลวง เมืองศรีสัตตนาค นครหลวงเวียงจันทน์ |
สัญชาติ |
|
ชื่ออื่น | สิลา จันทะนาม |
การศึกษา | โรงเรียนวัดปทุมวนาราม |
อาชีพ |
|
ผลงานเด่น |
|
บุตร | 17 คน; ดวงเดือน บุนยาวงส์ |
บิดามารดา |
|
ลายมือชื่อ | |
มหาสิลา วีระวงส์ (ลาว: ມະຫາສິລາ ວີຣະວົງສ໌) เป็นนักวิชาการทางด้านวรรณคดี นักประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมชาวลาว เขาเป็นผู้ที่ริเริ่มในการค้นคว้าประวัติศาสตร์ลาวในยุคร่วมสมัย และเป็นผู้ที่ค้นพบต้นฉบับใบลานมหากาพย์ท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง
ในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2470 มหาสิลาได้รับทุนการศึกษาจากวิทยาลัยพุทธศาสนาในนครหลวงเวียงจันทน์และพุทธบัณฑิตสภา โดยเป็นผู้ที่คิดค้นตัวอักษรเพิ่มเติมให้กับชุดตัวอักษรลาวไว้สำหรับเขียนคำศัพท์ที่ยืมมาจากภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ซึ่งช่วยให้มีตัวอักษรครบในแต่ละวรรค[1] และพุทธบัณฑิตสภาก็ได้ตีพิมพ์หนังสือภาษาลาวที่ใช้รูปแบบอักขรวิธีดังกล่าวแต่ก็ยังไม่ได้มีการใช้อย่างแพร่หลายเท่าที่ควร จนกระทั่งระบบการเขียนดังกล่าวก็ได้ถูกยกเลิกไปอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2518 จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2562 ถึงจะได้มีการบรรจุตัวอักษรที่ได้ยกเลิกการใช้ไปแล้วลงไปในรหัสยูนิโคด 12[2] นอกจากนี้มหาสิลายังเป็นผู้ที่มีส่วนรวมในการออกแบบธงของรัฐบาลลาวอิสระในปี พ.ศ. 2488 ซึ่งต่อมาก็ได้กลายมาเป็นธงชาติของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปัจจุบัน
ประวัติ[แก้]
มหาสิลา วีระวงส์ เดิมมีชื่อว่า สิลา จันทะนาม เกิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2448 ตรงกับวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ปีมะเส็ง เวลา 12.30 น. ที่บ้านหนองหมื่นถ่าน อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด (ปัจจุบันขึ้นกับอำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด ประเทศไทย) มีบิดาชื่อนายเสน จันทะนาม และมารดาชื่อนางดา จันทะนาม ซึ่งเป็นครอบครัวชาวนา โดยเป็นบุตรคนที่ 4 ของครอบครัวจากจำนวนทั้งหมด 9 คน ตระกูลของมหาสิลาสืบเชื้อสายมาจากพญาเมืองปากที่มีศักดิ์เป็นปู่ทวด โดยพญาเมืองปากก็เป็นต้นตระกูลที่มีพื้นเพมาจากเมืองจำปาศักดิ์
ปฐมวัยและการศึกษา[แก้]
มหาสิลาเริ่มเรียนหนังสือที่บ้านกับตาเมื่ออายุได้ 8 ปี โดยเริ่มจากการฝึกเขียน-อ่านอักษรไทน้อย ซึ่งเป็นชุดตัวอักษรที่เอาไว้ใช้สำหรับเขียนภาษาลาว หลังจากนั้นจึงได้เริ่มอ่านหนังสือกาพย์-กลอน ต่อมาก็ไปเป็นเด็กวัดและบวชเณรตามลำดับ ทำให้ได้เรียนและศึกษาอักษรไทย อักษรขอม และอักษรธรรมเพิ่มเติม แต่บวชได้เพียงไม่นานก็ต้องสึกเนื่องจากต้องไปดูแลแม่ที่เจ็บป่วย
จนกระทั่งเข้าปี พ.ศ.2560 เมื่ออายุได้ราว 12 ปี เมื่อรัฐบาลสยามได้ตั้งโรงเรียนประชาบาลขึ้น และบังคับให้เด็กต้องเข้าเรียน ส่งผลให้มหาสิลาต้องเข้าเรียนตามระบบการศึกษาจากส่วนกลาง ก่อนที่จะบวชเณรอีกครั้ง โดยเรียนระบบสามัญในเวลากลางวันสลับกับการศึกษาธรรมในเวลากลางคืน เนื่องจากได้รับคำแนะนำจากพระผู้ใหญ่ว่าหากเรียนทางสายปริยัติธรรมจะสามารถต่อยอดไปได้ไกลกว่าสายสามัญ หากสอบได้มหาเปรียญ 3 ประโยคแล้วจะสามารถศึกษาต่อที่โรงเรียนกฎหมายและสอบเป็นผู้พิพากษาได้ มหาสิลาจึงมุ่งศึกษาในทางธรรมและเดินทางไปศึกษาต่อที่อุบลราชธานี ก่อนที่จะเข้าไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ ที่โรงเรียนวัดปทุมวนาราม เข้าเรียนนักธรรมชั้นเอกและสอบได้อันดับ 1 ของรุ่น จากการสอบทั่วกรุงเทพในปี พ.ศ. 2468 และก็สอบได้มหาเปรียญธรรม 3 ประโยคได้เป็นผลสำเร็จตามความปรารถนาในปีต่อมา
แต่เนื่องจากทางโรงเรียนกฎหมายมักเปลี่ยนระเบียบการรับนักศึกษาอยู่บ่อยครั้ง จากมหาเปรียญ 3 ประโยค ก็เปลี่ยนเป็น ุ6 ประโยค แต่แล้วก็เปลี่ยนว่าต้องมีวุฒิมัธยมศึกษาปีที่ 6 และยังต้องได้ข้าราชการชั้น “พระยา” รับรองด้วย ส่งผลให้มหาสิลาก็ต้องละทิ้งความตั้งใจที่จะเป็นผู้พิพากษาในรัฐบาลสยามตามที่ได้ตั้งใจไว้แต่แรกในท้ายที่สุด โดยระยะเวลาใกล้เคียงกันนั้นเองที่มหาสิลาได้อ่านงานประวัติศาสตร์ความบาดหมางระหว่างสยามส่วนกลางกับล้านช้างเวียงจันทน์ (กบฏเจ้าอนุวงศ์) ทำให้มหาสิลาเกิดแนวคิดอยาก “กู้ชาติ” ขึ้นมา แต่ความรุ่มร้อนก็ค่อย ๆ บรรเทาลง เมื่อมีพระผู้ใหญ่ในอีสานที่มหาสิลาเคารพนับถือ อธิบายให้เห็นว่าตัวท่านเองก็เคยคิดเช่นนั้น แต่มัน “เป็นไปไม่ได้” ทำให้มหาสิลาในขณะนั้นจึงต้องเก็บงำความคิดเรื่องกู้ชาติของตนเอาไว้[3]
การเสียชีวิต[แก้]
มหาสิลาถึงแก่กรรมในวันที่ 18 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530 สิริรวมอายุได้ 82 ปี นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของแวดวงวิชาการลาว สีซะนะ สีสานประธานคณะกรรมการวิทยาศาสตร์สังคมแห่งชาติลาว ได้ระบุเอาไว้ว่า: "ตลอดชีวิตของท่านมหาสิลา วีระวงส์ ได้อุทิศตนให้แก่การค้นคว้าภาษา วรรณคดี ประวัติศาสตร์ และยังเป็นห่วงเป็นใยจนถึงวาระสุดท้ายของท่าน ด้วยอยากให้วรรณคดีลาวสมัยโบราณได้รับการพิมพ์ออกเผยแพร่ต่อมวลชนอย่างทั่วถึง บรรดานักศึกษา นักวิชาการทั้งลาวและต่างประเทศ ต่างก็ถือเอาท่านเป็นบ่อนอิง เพื่อถามเอาข้อมูล หลาย ๆ คนยกย่องและนับถือท่านเป็นอาจารย์ เป็นผู้ทรงคุณอุทิศ เป็นนักปราชญ์ผู้หนึ่งของลาว"
ผลงาน[แก้]
งานประพันธ์[แก้]
งานปริวรรต[แก้]
- คัมภีร์พระธรรมศาสตร์บูราณลาว (กฎหมายเก่าของลาว; พ.ศ.2486)
- ท้าวฮุ่ง ขุนเจือง (พ.ศ.2486)
- พระเวสสันดรชาดก (พ.ศ.2486)
- อินทิญาณสอนลูก (พ.ศ.2486)
- สังข์ศิลป์ชัย (พ.ศ.2494)
- สานลีพสูร (พ.ศ.2495)
- เซียงเมี้ยง (พ.ศ.2497)
- ตำนานพระบาง (พ.ศ.2497)
- นิทานท้าวเสียวสวาด (พ.ศ.2497)
- พระพุทธรูปปางภิเษกวิธี (พ.ศ.2497)
- เรื่องพระอุปคุต (พ.ศ.2508)
- ประวัติพระแทรกคำ(พ.ศ.2510)
- ตำนานขุนบรม (พ.ศ.2510)
- สานถอนอกน้อม (ไม่ระบุแน่ชัด)
ดูเพิ่ม[แก้]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ Rajan, Vinodh; Mitchell, Ben; Jansche, Martin; Brawer, Sascha. "Proposal to Encode Lao Characters for Pali" (PDF).
- ↑ "Lao Characters for Pali added to Unicode 12 | Computer Science Blog". blogs.cs.st-andrews.ac.uk. สืบค้นเมื่อ 2023-03-01.
- ↑ "มหาสิลา วีระวงศ์ ปราชญ์ลาวร้อยเอ็ด ปลุกสำนึกลาวผ่านประวัติศาสตร์". thepeople.co. สืบค้นเมื่อ 2020-07-07.
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
- ชีวิตผู่ข้า (อัตชีวประวัติของข้าพเจ้า) เก็บถาวร 2018-08-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน โดย มหาสิลา วีระวงส์
- http://www.ubru.ac.th/ccu/lao_sila01.html[ลิงก์เสีย]